เด็กชายผู้ใช้เข็มกับโลกต้องคำสาป 呪われた世界で針使いの魔少年
เรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่รักในการเย็บปักถักร้อย ความถนัดที่ดูไม่ค่อยจะเท่หรือมีประโยชน์สักเท่าไรในสายตาคนอื่น แต่เรื่องราวกลับต้องพลิกผันเมื่อวันหนึ่งเขาได้หลุดเข้าไปยังอีกโลกที่ไม่เคยรู้จัก
ผู้เข้าชมรวม
4,405
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“ไบคิน
นายช่วยเย็บเสื้อให้ฉันหน่อยสิ พอดีฉันเผลอไปทำมันขาดน่ะ”
ชายร่างใหญ่ทรงนักกีฬาเดินตรงมาที่โต๊ะของผมด้วยท่าทางร้อนรนและส่งสายตาวิงวอนเพื่อขอความช่วยเหลือจากผม
“หา
แล้วทำไมฉันต้องเป็นคนเย็บให้นายตลอดเลยเนี่ย อันที่จริงนายไปขอให้พวกผู้หญิงคนอื่นในห้องเย็บให้ก็ได้หนิ
ดีไม่ดีอาจจะได้เพิ่มความสัมพันธ์กับพวกนั้นไปในตัวด้วยนะ”
“แบบนั้นฉันก็เขินแย่สิ
นายก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยถนัดเรื่องคุยกับผู้หญิงสักเท่าไร
นายนั่นแหละช่วยเย็บให้ฉันที ฉันรู้ว่านายถนัดเรื่องแบบนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเลี้ยงข้าวเที่ยงตอบแทนหนึ่งมื้อเลยเป็นไง”
ชายร่างใหญ่ยังคงยืนกรานจะให้ผมเย็บเสื้อของเขาให้ได้
ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วรับเสื้อมาอย่างช่วยไม่ได้เหมือนกับทุกๆที
“ขอบใจนะไบคิน
ถ้าเย็บเสร็จแล้วเอาไปวางไว้ใต้โต๊ะฉันได้เลยนะ ฉันขอตัวไปหาอะไรกินที่โรงอาหารก่อน
นายจะฝากซื้ออะไรหรือเปล่า”
“ไม่ล่ะ
ขอบคุณ”
“รับทราบ
!”
ชายร่างใหญ่พูดเพียงแค่นั้นก่อนจะรีบวิ่งลงไปยังโรงอาหารอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงอาจารย์ที่ดังแว่วขึ้นมาว่าห้ามวิ่งบนทางเดิน
ผมชื่อไบคิน
อายุ 18 ปี เป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายปีที่สาม ผมเกิดและโตที่เมืองโตเกียว
เมืองหลวงที่วุ่นวายเป็นอันดับต้นๆของโลกเลยก็ว่าได้ เพื่อนๆในห้องผมหลายคนมาจากต่างจังหวัดเป็นส่วนมาก
และเหตุผลหลักๆที่ทำให้พวกนั้นยอมย้ายเข้ามาเรียนไม่ใช่เพราะว่าโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่มันดีเลิศอะไรหรอก
แต่เป็นเพราะว่ามันตั้งอยู่ในย่านชิบูย่าต่างหากล่ะ มันก็คงเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กต่างจังหวัดแหละที่จะหลงใหลในแสงสีของเมืองหลวง
แต่สำหรับเด็กที่เกิดและโตที่นี่อย่างผม มันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย อาจจะเป็นเพราะผมอยู่มานานด้วยแหละ
มันเลยไม่มีอะไรให้หวือหวาเป็นพิเศษ
“เอาล่ะ
จะหมดเวลาพักเที่ยงแล้วนะ หยิบหนังสือเรียนออกมาเตรียมตัวเรียนวิชาประวัติศาสตร์โลกกันได้แล้ว”
อาจารย์ผู้ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับสั่งให้เด็กนักเรียนทุกคนเตรียมตัวเพื่อเรียนวิชาต่อไป
ผมเดินเอาเสื้อที่เย็บเสร็จแล้วไปวางไว้ใต้โต๊ะตามที่เพื่อนผมบอก
ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะตัวเองแล้วหยิบหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาเตรียมไว้ให้เรียบร้อย
ไม่นานนักเพื่อนของผมคนนั้นก็เดินกลับมาจากโรงอาหารแล้วหันมาก้มหน้าขอบคุณให้ผมครั้งนึง
“ยุคมืด หมายถึงช่วงเวลาของความเสื่อมโทรมทั้งทางวัฒนธรรมและทางสังคมในยุโรปหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน...”
เสียงอาจารย์สอนยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ
แต่มันไม่ได้เข้าหูผมเลยแม้แต่น้อย เพราะผมมัวแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีบรรยากาศครึ้มราวกับว่าฝนกำลังจะตกในไม่ช้า
กริ๊งก่องง
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก
รู้ตัวอีกทีเสียงออดเลิกเรียนก็ดังขึ้นแล้ว ทุกๆคนในห้องยืนขึ้นก่อนหัวหน้าห้องจะสั่งให้ทำความเคารพอาจารย์หนึ่งครั้งเพื่อเป็นสัญญาณว่าการเรียนอันแสนน่าเบื่อในวันนี้ได้จบลงแล้ว
ผมเก็บหนังสือและกล่องดินสอเข้ากระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนจะเดินกลับอพาร์ทเม้นท์ที่ผมอาศัยอยู่ทันที
เนื่องจากอพาร์ทเม้นท์ผมตั้งอยู่ในจุดที่ห่างไกลจากย่านดังพอสมควร ทำให้แถวที่ผมอาศัยอยู่ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านมากเท่าไร
ซึ่งมันก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่คนที่นี่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร จะออกแนวอยู่ใครอยู่มันมากกว่า
มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าเกิดคนที่อาศัยอยู่ข้างห้องเกิดเสียชีวิตขึ้นมาแล้วผมไม่รู้(แค่ยกตัวอย่าง)
อ้อ ลืมบอกไป พ่อแม่ผมท่านทำงานอยู่ที่ต่างประเทศทั้งคู่ ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงดูผมนัก
จะเอาผมไปต่างประเทศด้วยก็คงลำบากเพราะว่าเดิมทีท่านทั้งสองทำงานอยู่คนละประเทศกัน
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ยายต้องเลี้ยงผมมาคนเดียวตั้งแต่ผมยังเด็ก ยายมักจะสอนการเย็บปักถักร้อยให้ผมเป็นประจำ
ถ้าหากมีคนถามว่าความสามารถพิเศษผมคืออะไร ผมก็ตอบได้เต็มปากว่าเย็บปักถักร้อย หลายๆคนอาจจะคิดว่ามันแปลกที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะมาชอบการเย็บปักถักร้อย
ผมขอบอกเลยว่าผมรักการเย็บปักถักร้อยจริงๆ ไม่ได้ถูกยายบังคับแต่อย่างใด หลังจากที่ผมอายุได้
15 ปี ผมก็ต้องพบกับข่าวร้ายที่ทำให้ผมเสียใจที่สุดในชีวิต
ยายของผมได้จากผมไปอย่างสงบ ผมใช้เวลาทำใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะเริ่มต้นใช้ชีวิตอยู่คนเดียวตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายปีที่
1 เรื่องค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายต่างๆพ่อแม่ผมจะส่งกลับมาให้เป็นระยะๆ
ทำให้ผมไม่ต้องไปทำงานพิเศษเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียน มันก็สบายพอสมควร....
ตู้มมมม
“เห้ยยย”
จู่ๆก็มีบางสิ่งบางอย่างตกลงมาต่อหน้าต่อตาผม
ผมรีบเอาแขนขึ้นมาบังตาตัวเองไว้เพื่อกันฝุ่นจากแรงระเบิดไม่ให้กระเด็นเข้าตา
ทันทีที่ควันจากแรงระเบิดได้สลายหายไป ผมก็พบกับชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีเงินกำลังนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น
“ลุง
เป็นอะไรมากไหมครับ ทำใจดีๆไว้นะครับ ผมจะเรียกรถพยาบาลให้เดี๋ยวนี้แหละ”
ผมรีบวิ่งเข้าไปหาลุงแล้วตรวจชีพจรลุงในทันที
ดูเหมือนว่าลุงยังหายใจอยู่ ผมจึงใช้มือถือโทรเรียกรถพยาบาลด้วยความรีบร้อน
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย แล้วลุงตกลงมาจากข้างบนได้ยังไงในเมื่อจุดที่ลุงตกลงมามันไม่มีตึกสูงๆอยู่ใกล้ๆเลย
“เจ้าหนุ่ม
ข้ามีเรื่องจะขอร้อง...”
ลุงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ลุงอย่าเพิ่งพูดเลย
ทำใจดีๆไว้นะครับ เดี๋ยวรถพยาบาลจะมาแล้ว”
“แกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นแหละถ้าแกไม่ส่งลูกแก้วมาให้ฉัน”
ผมมองขึ้นไปข้างบนตามเสียงที่ได้ยินก่อนจะพบกับเจ้าของเสียงกำลังลอยอยู่กลางอากาศ
หมอนี่ใส่ชุดคลุมสีดำทั้งตัว มีสัญลักษณ์ดาวสีแดงขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางชุดคลุม
ลอยหรอ......เห้ยยย
มันจะเป็นไปได้ไงวะเนี่ย หมอนี่ลอยอยู่กลางอากาศได้ยังไง ดูยังไงมันก็ไม่น่าจะใช่มายากล
หรือผมเผลอหลับในห้องเรียนแล้วกำลังฝันล่ะเนี่ย
“แก...อย่าหวัง...”
คุณลุงพูดได้เพียงแค่นั้นก่อนจะใช้แรงที่เหลืออยู่เอื้อมมือไปหยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาจากข้างหลัง
มันมีลักษณะเหมือนลูกแก้วทั่วๆไป แต่แปลกตรงที่มันมีสีฟ้าสดใสราวกับว่าถูกเคลือบด้วยพลังอะไรบางอย่างไว้
“ฉันจะไม่ฆ่าแกก็ได้นะถ้าแกยอมส่งลูกแก้วนั่นมาดีๆ
หึหึ”
“รับนี่ไปเจ้าหนุ่ม....ช่วยนำมัน...ไปส่งให้ท่านเอสเทรีย...”
ลุงนำลูกแก้วที่ว่ามาวางไว้บนมือผม
ก่อนจะยิ้มให้หนึ่งที
“เทเลพอร์ทชั่วพริบตา
!!”
“เห้ยยย”
ผมอุทานได้เพียงเท่านั้นก่อนที่ภาพตรงหน้าผมจะดับลง..
ผลงานอื่นๆ ของ CUTEEEEEEE ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ CUTEEEEEEE
ความคิดเห็น